ฟังก์ชัน คือ ความสัมพันธ์ซึ่งในสองคู่อันดับใดๆ ของความสัมพันธ์นั้น ถ้าสมาชิกตัวหน้าเหมือนกันแล้ว สมาชิกตัวหลังต้องไม่ต่างกัน
| |||
| |||
หลักในการพิจารณาว่าความสัมพันธ์เป็นฟังก์ชันหรือไม่
| |||
1. ถ้าความสัมพันธ์นั้นอยู่ในรูปแจกแจงสมาชิก ให้ดูว่าสมาชิกตัวหน้าของคู่อันดับซ้ำกันหรือไม่ ถ้าสมาชิกตัวหน้าของคู่อันดับซ้ำกัน แสดงว่าความสัมพันธ์นั้นไม่เป็นฟังก์ชัน
| |||
2. ถ้าความสัมพันธ์นั้นอยู่ในรูปของการกำหนดเงื่อนไขสมาชิก
r = {(x,y) ∈ A× B | P(x,y) } ให้แทนค่าแต่ละสมาชิกของ x ลงในเงื่อนไข P(x,y) เพื่อหาค่า y ถ้ามี x ตัวใดที่ให้ค่า yมากกว่า 1 ค่า แสดงว่าความสัมพันธ์นั้นไม่เป็นฟังก์ชัน | |||
3. พิจารณาจากกราฟของความสัมพันธ์ โดยการลากเส้นตรงขนานกับแกน y ถ้าเส้นตรงดังกล่าวตัดกราฟของความสัมพันธ์มากกว่า 1 จุด แสดงว่าความสัมพันธ์นั้นไม่เป็นฟังก์ชัน
|
ฟังก์ชันจาก A ไป B
• ฟังก์ชันจาก A ไป B
| ||
f เป็นฟังก์ชันจาก A ไป B ก็ต่อเมื่อ f เป็นฟังก์ชันที่มีโดเมนคือเซต A และเรนจ์เป็นสับเซตของเซต B เขียนแทนด้วย f : A → B
| ||
• ฟังก์ชันจาก A ไปทั่วถึง B
| ||
f เป็นฟังก์ชันจาก A ไปทั่วถึง B ก็ต่อเมื่อ f เป็นฟังก์ชันที่มีโดเมนเป็นเซต A และเรนจ์เป็นของเซต B เขียนแทนด้วย f : A
| ||
• ฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งจาก A ไป B
| ||
f เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งจาก A ไป B ก็ต่อเมื่อ f เป็นฟังก์ชันจาก A ไป B ซึ่งถ้า y ∈ R f
แล้วมี x ∈ Df เพียงตัวเดียวเท่านั้นที่ทำให้ (x,y) ∈ f เขียนแทนด้วย f : หรืออาจกล่าวอย่างง่ายๆได้ว่า f เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่ง ก็ต่อเมื่อสำหรับ x1และ x2 ในโดเมน ถ้า f( x1) = f( x2) แล้ว x1 = x2 | ||
• ฟังก์ชันเพิ่ม ฟังก์ชันลด
| ||
ให้ f เป็นฟังก์ชันจากสับเซตของ R× R และ A ⊂ Df
| ||
♦ f เป็นฟังก์ชันเพิ่มใน A ก็ต่อเมื่อ สำหรับสมาชิก x1 และ x2 ใดๆ ใน A
| ||
| ||
♦ f เป็นฟังก์ชันลดใน A ก็ต่อเมื่อ สำหรับสมาชิก x1 และ x2 ใดๆ ใน A
| ||
|
ฟังก์ชันที่ควรรู้จัก
ฟังก์ชันอินเวอร์ส
เนื่องจากฟังก์ชัน คือ รูปแบบหนึ่งของความสัมพันธ์ ดังนั้น การหาอินเวอร์สของฟังก์ชันจึงหาได้ เช่นเดียวกับการหาอินเวอร์สของความสัมพันธ์ เพียงแต่อินเวอร์สของฟังก์ชันไม่จำเป็นต้องเป็นฟังก์ชันเสมอไป
| ||||||||||
ตัวอย่างเช่น
|
กำหนด
|
f = {(1,2) ,(2,3) ,(3,4)}
| ||||||||
∴
|
f-1 = {(2,1) ,(3,2) ,(4,3)} เป็นฟังก์ชัน
| |||||||||
กำหนด
|
g= {(1,2) ,(2,3) ,(4,2)}
| |||||||||
∴
|
g-1 = {(2,1) ,(3,2) ,(2,4)} ไม่ เป็นฟังก์ชัน
| |||||||||
เรียกอินเวอร์สของฟังก์ชันที่เป็นฟังก์ชันว่า "ฟังก์ชันอินเวอร์ส" จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นว่า ฟังก์ชันที่จะมีฟังก์ชันอินเวอร์สได้ จะต้องเป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่ง
| ||||||||||
สมบัติของฟังก์ชันอินเวอร์ส
| ||||||||||
|
ฟังก์ชันคอมโพสิท (Composite Function)
ให้ f และ g เป็นฟังก์ชัน และ R f ∩ Dg≠ Ø ฟังก์ชันคอมโพสิทของ f และ g เขียนแทนด้วยgof กำหนดโดย (gof)(x) = g(f(x)) สำหรับทุก x ซึ่ง f(x) ∈ Dg
|
ตัวอย่างที่1 ให้ f: A → B และ g : B → C ดังแสดงในแผนภาพ
| |||||
f = {(1,5), (2,4), (3,6)} และ
| |||||
g = {(4,7), (5,7), (6,8)}
| |||||
(gof)(1)
|
= g(f(1))
|
= g(5)
|
= 7
| ||
(gof)(2)
|
= g(f(2))
|
= g(4)
|
= 7
| ||
(gof)(3)
|
= g(f(3))
|
= g(6)
|
= 8
| ||
∴ gof
|
= {(1,7), (2,7), (3,8)} และ Dgof = A
| ||||
ข้อสังเกต
|
จากตัวอย่างที่ 1 จะเห็นว่าไม่มี fog เพราะ R f ∩ Dg=Ø
|
พีชคณิตของฟังก์ชัน (Agebra of Function)
|
จากบทนิยามจะได้
|
f + g (x)
|
= f(x) + g(x) ซึ่ง x ∈ D f ∩ Dg
| |||
f - g (x)
|
= f(x) - g(x) ซึ่ง x ∈ D f ∩ Dg
| ||||
f · g (x)
|
= f(x) · g(x) ซึ่ง x ∈ D f ∩ Dg
| ||||
(x)
|
=
|
ซึ่ง x ∈ D f ∩ Dg และ g(x) ≠ 0
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น